ทฤษฎีการให้คำปรึกษาแบบพฤติกรรมนิยม
ประวัติผู้ก่อตั้งทฤษฎีการให้คำปรึกษาแบบพฤติกรรมนิยม
บี. เอฟ. สกินเนอร์ เกิดที่มลรัฐเพนซิลวาเนีย บิดาของสกินเนอร์เป็นผู้ที่ขยันขันแข็งในการทำงาน และพยายามฝึกอบรมให้เขารู้จักแยกแยะถูกผิด สกินเนอร์เขียนเล่าในประวัติว่า มารดาของเขาพยายามจะควบคุมเขา โดยการตักเตือนให้เขาคิดว่าผู้คนจะคิดอย่างไรถ้าเขาทำผิด ไม่ยอมอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง นอกนี้ยายของเขายังเล่าเกี่ยวกับไฟจากนรก ที่ลงโทษคนกระทำความผิด บิดาของเขาเป็นนักกฎหมายและได้พาเขาไปดูเรือนจำ พร้อมทั้งพูดให้เขาฟังอยู่เสมอถึงโทษที่รับหากทำผิดกฎหมาย
ในวัยเด็กสกินเนอร์มีความสนใจในเครื่องจักรกล ในวัยผู้ใหญ่เขาสนใจในเรื่องการออกแบบเครื่องมือ สิ่งประดิษฐ์ชิ้นหนึ่งของเขาคือ กล่องสกินเนอร์ เพื่อศึกษาผลของการใช้ตารางการเสริมแรงกับพฤติกรรมของสัตว์ และเขายังได้คิดเครื่องมือช่วยสอนและเปลนอนติดแอร์สกินเนอร์ เป็นห้องเก็บเสียงและรักษาระดับอุณหภูมิ ซึ่งเขาใช้เลี้ยงลูกสาวคนหนึ่งของเขาเป็นเวลามากกว่า ๒ปี สกินเนอร์แสดงความสนใจในพฤติกรรมมนุษย์ด้วยการศึกษาจิตวิทยา และได้รับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในปีค.ศ. ๑๙๓๑ เขาตั้งทฤษฎีพฤติกรรมที่ปฏิเสธเชื่อของมนุษย์ เป็นผู้ที่มีอิสระในการกำหนดโชคชะตาของตนเอง เขาเชื่อพฤติกรรมและบุคลิกภาพถูกกำหนดโดยเหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันที่วัดได้ สกินเนอร์แสดงความเห็นว่านักจิตวิทยาควรให้ความสำคัญกับพฤติกรรมที่สังเกตได้เท่านั้น พันธุกรรมและประวัตส่วนบุคคล มีส่วนรับผิดชอบกับพฤติกรรมปัจจุบันบางส่วนเท่านั้น นอกจากนี่สกินเนอร์ยังมีความสนใจในพฤติกรรมของสัตว์ โดยในช่วงหลังของการทำงานเขาได้ฝึกพิราบเล่นปิงปอง
แนวคิดที่สำคัญทฤษฎีการให้คำปรึกษาแบบพฤติกรรมนิยม
การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก
พาฟลอฟนักสรีรวิทยาชาวรัสซียเป็นผู้สอนหลักการเรียนรู้นี้ การศึกษาของเขาวางเงื่อนไขให้สุนัขนำลายไหลเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง เขาแสดงให้เห็นว่าการวางสิ่งเร้าที่ไม่ต้องวางเงื่อนไข คือเศษเนื้อ เสตอพร้อมกับสิ่งเร้าที่ต้องวางเงื่อนไข คือเสียงกระดิ่ง หลังจากได้ยินเสียงกระดิ่งโดยไม่เห็นอาการที่เป็นเศษเนื้อ สุนัขจะหลั่งน้ำลาย
การวางเงื่อนไขแบบลงมือกระทำ
สกินเนอร์เป็นผู้คิดหลักการนี้ เขาเสนอว่าความถี่ของพฤติกรรมที่แสดงขึ้นอยู่กับผลที่ตามมาหลังพฤติกรรมนั้น สกินเนอร์นำความคิดนี้ไปใช้ในการปรับพฤติกรรมของนกพิราบ โดยการให้อาหารเป็นรางวัล จนกระทั้งนกพิราบเรียนรู้ที่จะจิกวงกลมสีแดง พฤติกรรมที่แสดงเพิ่มมากขึ้นเรียกว่า “ได้รับการเสริมแรง”
การเรียนรู้ทางสังคม
ผู้เสนอความคิดนี้ คือ อัลเบิร์ต แบนดูรา เขาคิดว่าการเรียนรู้และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมยังเกิดจากการสังเกต การเลียนแบบพฤติกรรมผู้อื่น หรือการเรียนรู้จากตัวแบบ ซึ่งมีทั้งการเรียนรู้จากตัวแบบที่ดีและไม่ดี การเรียนรู้จากตัวแบบค่อนข้างจะมีอิทธิพลกับบุคคล เพราะช่วยลดความรู้สึกกลัวต่องานที่ยาก และยังช่วยกระตุ้มให้พยายามเลียนแบบให้สำเร็จ การทดลองของแบนดูราแสดงให้เห็นว่าเด็กที่สังเกตผู้ใหญ่ จะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว และมีแนวโน้มแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวมากกว่าเด็กที่ไม่ได้ตัวแบบแสดงให้เห็น การเรียนรู้จากตัวแบบอธิบายได้ค่อนข้างชัดเจนต่อพฤติกรรมความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน
กระบวนการให้การปรึกษาทฤษฎีการให้คำปรึกษาแบบพฤติกรรมนิยม
เป้าหมายของการปรึกษา
เป้าหมายโดยทั่วไปของการให้การปรึกษาแบบพฤติกรรมนิยม คือ การทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง และเป็นที่พึงปรารถนาโดยการวางแผนอย่างเป็นระบบและมีความสม่ำเสมอ สำหรับเป้าหมายเฉพาะเจาะจง เป็นสิ่งที่กำหนดรวมกันระหว่างผู้ให้การปรึกษากับผู้รับการปรึกษาแต่ละราย เป้าหมายที่กำหนดขึ้นนั้นต้องมีความชัดเจน เป็นรูปธรรมและดำเนินการตกลงร่วมกันเป็นสัญญา เพื่อชี้นำการปรึกษาและการบำบัด
บทบาทและหน้าที่ของผู้ให้การศึกษา
๑. ผู้ให้การปรึกษามีหน้าที่ทำความเข้าใจปัญหาของผู้รับการปรึกษาอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะวางแผนดำเนินการจัดการกับปัญหา
๒. มีบทบาทสร้างแรงจูงใจ แก่ผู้รับการปรึกษาให้เกิดความมั่นใจต่อการแก้ไขปัญหา
๓. ร่วมมือกับผู้รับการปรึกษาในการวิเคราะห์ปัญหา ตลอดจนวางแผนและประเมินวิธีการจัดการกับพฤติกรรม
๔. ช่วยผู้รับการปรึกษาละลายพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่างๆ และเรียนรู้พฤติกรรมที่เหมาะสมเพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายที่วางไว้
๕. มีหน้าที่แสวงหาประสบการณ์และเพิ่มเติมความรู้ต่อการปรับพฤติกรรม และทำหน้าที่เป็นผู้ให้การเสริมแรงพฤติกรรมของผู้รับการปรึกษา ตลอดตนเป็นผู้แนะนำเพื่อช่วยให้ผู้รับการปรึกษาเปลี่ยนแปลง
๖. เป็นผู้เชี่ยวชาญในการประยุกต์เทคนิคต่างๆ ของทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหา
๗. แสดงบทบาทเป็นตัวแบบแก้ผู้รับการปรึกษา เพราะการเรียนรู้ส่วนมากเกิดจากการมีประสบการณ์โดยตรง ดังนั้นผู้รับการปรึกษาสามารถเรียนรู้พฤติกรรมใหม่ได้จากการเลียนแบบ
ขั้นตอนการปรึกษา
เนื่องจากให้บริการปรึกษาแบบพฤติกรรมนิยมอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีการเรียนรู้ ซึ่งเน้นพฤติกรรมที่สังเกตได้ วัดได้ และประเมินได้ โดยไม่คำนึงถึงพฤติกรรมภายใน ดังนั้นการให้บริการปรึกษาจึงมีขั้นตอนที่ชัดเจน คือ การระบุพฤติกรรมที่เป็นปัญหา การตั้งเป้าหมาย การช่วยให้ผู้รับการปรึกษาบรรลุเป้าหมาย และประเมินเป้าหมาย
๑. การระบุพฤติกรรมที่เป็นปัญหา
การให้คำปรึกษาแบบพฤติกรรมนิยมเน้นการเปลี่ยนพฤติกรรมที่สังเกตเห็นได้ ดังนั้นการระบุพฤติกรรมที่เป็นปัญหาจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญ ในขั้นแรกจึงต้องระบุให้ชัดเจนว่า พฤติกรรมที่เป็นปัญหาคือพฤติกรรมอะไร
Ø ในการเก็บรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมนอกจากการฟังและการสังเกตแล้วถ้าหากปัญหายังไม่ชัดเจนผู้ให้การปรึกษาอาจใช้เครื่องมืออย่างอื่นก็ได้ เช่น บันทึกประจำวัน หรือเครื่องมืออย่างอื่นที่จำเป็น
Ø ในการเก็บรวบรวมข้อมูลดังกล่าวผู้ให้คำปรึกษาจะต้องใช้เทคนิคการสร้างความสัมพันธ์กับผู้รับคำปรึกษาเพื่อให้เกิดความไว้วางใจและร่วมกันแก้ปัญหา
๒. การตั้งเป้าหมาย
เมื่อรู้ว่าพฤติกรรมใดเป็นพฤติกรรมที่เป็นปัญหาแล้ว ผู้ให้คำปรึกษากับผู้รับคำปรึกษาต้องร่วมกันตั้งเป้าหมายในการแก้ไขพฤติกรรม หมายถึง การกำหนดว่าผู้รับคำปรึกษาจะแก้ไขพฤติกรรมอะไร ต้องแสดงพฤติกรรมอะไร เนื่องจากการให้คำปรึกษาแบบพฤติกรรมนิยมมีเป้าหมายเพื่อสร้างประสบการณ์ให้ผู้รับคำปรึกษาเกิดการเรียนรู้ใหม่ที่ถูกต้องและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมให้เป็นที่พึงปรารถนา ผู้รับคำปรึกษาจะต้องรู้ว่าพฤติกรรมที่พึงปรารถนาคืออะไร ครัมโบลท์ และธอเรสเซน กล่าวถึงเกณฑ์การตั้งเป้าหมายว่า
Ø ผู้รับคำปรึกษาจะต้องเป็นผู้ตั้งเป้าหมายเอง
Ø ผู้ให้คำปรึกษาจะต้องช่วยผู้รับคำปรึกษาไปสู่เป้าหมาย
Ø เป็นเป้าหมายที่สามารถประเมินได้
ดังนั้น เป้าหมายที่ดีต้องเป็นเป้าหมายที่ผู้รับคำปรึกษากำหนดเอง เป็นเป้าหมายที่เกิดจากความต้องการของผู้รับคำปรึกษา เป้าหมายนั้นต้องชัดเจนและเฉพาะเจาะจงจึงจะทำให้การให้คำปรึกษาบรรลุเป้าหายเร็วขึ้น
๓. การช่วยให้ผู้รับคำปรึกษาไปสู้เป้าหมาย
การให้คำปรึกษาแบบพฤติกรรมนิยมนั้น ผู้ให้คำปรึกษาต้องเป็นผู้ที่กระฉับกระเฉง ว่องไว มีบทบาทและหน้าที่ในการจัดประสบการณ์ ให้ผู้รับคำปรึกษาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางที่พึงปรารถนา ในการช่วยให้ผู้รับคำปรึกษาไปสู้เป้าหมาย คือพฤติกรรมเป็นที่พึงปรารถนานั้น ผู้ให้คำปรึกษามีบทบาทและหน้าที่ดังนี้
Ø เป็นผู้ชี้แนะแนวทาง
Ø เลือกใช้เทคนิคให้เหมาะสมกับปัญหา
Ø เป็นตัวแบบ
Ø จูงใจให้ผู้รับคำปรึกษาแก้ไขพฤติกรรม
จากบทบาทและหน้าที่ดังกล่าวทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าผู้ให้คำปรึกษา ทำหน้าที่วางเงื่อนไขและควบคุมพฤติกรรมของผู้รับคำปรึกษานั้นเอง สำหรับผู้รับคำปรึกษานั้นต้องมีความตั้งใจแน่วแน่ในการเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง ให้ความร่วมมือในการใช้เทคนิคต่างๆ มีความกระตือรือร้นในการแสดงพฤติกรรมใหม่
วิธีการช่วยให้ผู้รับคำปรึกษาไปสู้เป้าหมายนั้น ผู้ให้คำปรึกษาจะต้องอธิบายความจำเป็นพื้นฐานในการให้คำปรึกษา ทั้งผู้ให้คำปรึกษาและผู้รับคำปรึกษาจะต้องร่วมกันทำงานไปสู้เป้าหมายที่ยอมรับร่วมกัน และการช่วยให้ผู้รับคำปรึกษาแก้ไขพฤติกรรมนั้นผู้ให้คำปรึกษาต้องทำงานร่วมกับครูและผู้ปกครองของผู้รับคำปรึกษา
๔. การประเมินเป้าหมาย
การประเมินเป้าหมาย หมายถึง การประเมินผลการให้คำปรึกษาว่าบรรลุเป้าหมายหรือไม่ การประเมินผลการให้คำปรึกษาอาจทำได้โดยให้ผู้รับคำปรึกษารายงานผลความคืบหน้าของพฤติกรรมที่ตนต้องการแก้ไข ถ้าไม่ได้ผลให้กลับไปวิเคราะห์พฤติกรรมและใช้เทคนิคใหม่
เทคนิคและวิธีการต่างๆ ในการให้คำปรึกษาแบบพฤติกรรมนิยม
๑. Desensitization เดิมชื่อเรียกว่า Reciprocal Inhibition หรือ Systematic Desensitization หลักการของวิธีการนี้คือ บุคคลไม่สามารถผ่อนคลายและรู้สึกกลัวในขณะเดียวกัน ผู้ให้การปรึกษาและผู้รับการปรึกษาต้องร่วมกันกำหนดระดับของสิ่งที่เร้าให้เกิดความวิตกกังวล ซึ่งอาจเป็นวัตถุ เหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่เร้าความรู้สึกกลัวจากน้อยไปสู้ความกลัวมากที่สุด ผู้รับการปรึกษาจะถูกสอนให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ วิธีผ่อนคลายมีหลายวิธี อาจใช้การสะกดจิต การเปิดเทปผ่อนคลายหรือสอนการผ่อนคลายโดยตรง หลังจากที่ผู้รับการปรึกษาเรียนรู้การผ่อนคลายได้อย่างแท้จริง ผู้ให้การปรึกษาเริ่มบรรยายถึงสิ่งที่เร้าความวิตกกังวลในขั้นน้อยที่สุด และให้ผู้รับการปรึกษาจินตนาการรายละเอียดร่วมด้วย ถ้าผู้รับการปรึกษาสามารถผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้โดยไม่รู้สึกวิตกกังวลกับสิ่งเร้าระดับนี้ ผู้ให้การปรึกษาจะบรรยายถึงสิ่งเร้าในระดับที่สูงขึ้นในขณะที่ผู้รับการปรึกษาผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ถ้าผู้รับการปรึกษาไม่รู้สึกผ่อนคลายกับสิ่งเร้าบางระดับ ผู้ให้การปรึกษาจะหยุดบรรยายและให้ผู้รับการปรึกษาผ่อนคลายกล้ามเนื้อใหม่ จนกว่าจะสามารถผ่อนคลายได้เมื่อนำสิ่งเร้านั้นกลับมาเสนอใหม่ ผู้ให้การปรึกษาจะดำเนินการเช่นนี้จนกว่าผู้รับการปรึกษาจะผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้หมดกับสิ่งเร้าที่ทำให้เกิดความกังวลในทุก
๒. การลดภาวะ (Extinction) หมายถึง พฤติกรรมที่เกิดขึ้นจะค่อยๆ ลดปริมาณลงจนหยุดพฤติกรรมหากไม่ได้รับการเสริมแรง วิธีการลดความวิตกกังวลโดยอาศัยหลักการลดภาวะ คือ การทำให้ผู้ที่รู้สึกวิตกกังวลต้องเผชิญกับสิ่งนั้น จนระดับความวิตกกังวลสูงขึ้น โดยธรรมชาติสภาวะทางร่างกายที่แสดงถึงอาการวิตกกังวลจะดำรงอยู่ได้นานไม่เกิน ๒๐-๓๐ นาที หลักจากนั้นระบบพาราซิมพเทติก จะทำหน้าที่ยับยั้งการทำงานของระบบซิมพาเทติก อาการวิตกกังวลจะค่อยๆ ลดลง
สำหรับวิธี Implosive Therapy หรือ Implosion ได้นำเอาหลักการลดภาวะมาใช้ โดยการให้ผู้รับการปรึกษาจินตนาการถึงสิ่งที่เร้าความวิตกกังวล การจินตนาการซ้ำๆ จะทำให้ผู้รับการปรึกษาสูญเสียพลังที่จะกระตุ้นให้รู้สึกวิตกกังวล และในที่สุดความกลัวที่ไม่สมเหตสมผลก็จะหมดไป แสตมเฟิลและลูอิสรายงานการใช้วิธีนี้กับผู้รับการปรึกษาเพศหญิง ซึ่งไม่สามารถว่ายน้ำได้เพราะกลัวจะจมน้ำตาย ความกลัวมีมากขึ้นถึงขั้นสวมห่วงชูชีพเมื่ออาบน้ำในอ่าง เขาบอกให้หล่อนจินตนาการว่ากำลังอาบน้ำ ในอ่างอาบน้ำที่ไม่มีก้น โดยไม่สวมชูชีพ ให้จินตนาการประมาณ ๑ นาที ในตอนต้นๆ ผู้รับการปรึกษาแสดงความวิตกกังวลอย่างมาก แต่ผู้ให้การปรึกษาก็บอกให้จินตนาการภาพนั้นซ้ำๆ การจินตนาการภาพเหตุการณ์ที่เร้าความวิตกกังวลจะเพิ่มขึ้นตามลำดับ และเมื่อผู้รับการปรึกษาสามารถเผชิญกับสิ่งที่เร้าความวิตกกังวลได้มากที่สุด อาการกลัวก็จะหายไป
๓. การลงโทษ (Punishment) วิธีการลงโทษด้วยการใช้กระแสไฟฟ้าช็อต เป็นวิธีการที่ถูกนำมาใช้มากที่สุด เช่น การช็อตไฟฟ้าควบคู่การดื่มสุรา หลังจากทำแบบนี่หลายครั้ง สุราจะถูกวางเงื่อนไขให้เป็นสิ่งเร้าที่ทำให้รู้สึกไม่ดี /เจ็บปวด บุคคลจะหลีกเลี่ยงการดื่มสุรา
Aversion Therapy เป็นการบำบัดแบบลงโทษ ซึ่งถูกนำมาใช้เพื่อแก้นิสัยบางอย่าง การลงโทษประสบผลสำเร็จกับการแก้นิสัยบางอย่าง แต่ถ้านำมาใช้กับการแก้ปัญหาอย่างอื่น การลงโทษอย่างเดียวไม่มีประสิทธิภาพพอ การศึกษาพบว่าการแก้ไขการสูบบุหรี่ และการรับประทานอาหารมาก ควรใช้ทั้งการลงโทษและวิธีอื่นร่วมด้วย
Covert Sensitization หมายถึง การจินตนาการว่าสิ่งเร้าให้โทษแทนการถูกทำโทษจริง เพื่อสร้างการเรียนรู้ใหม่ วิธีนี้ตรงข้ามกับวิธี Desensitization เกือบสิ้นเชิง กล่าวคือ ผู้รับการปรึกษาถูกสอนให้จินตนาการถึงสิ่งที่เร้าความวิตกกังวล เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งเร้านั้นในที่สุด
เทคนิคที่อาศัยหลักการเรียนรู้แบบลงมือกระทำ (Operant Conditioning)
๑. การฝึกทักษะทางสังคม
เทคนิคที่ใช้ได้แก่ การอธิบาย การแสดงเป็นแบบอย่าง และการแสดงบทบาท บางครั้งอาจใช้หลักการของ “การดัดพฤติกรรม และการฝึกหัดภายในมาร่วมด้วย การดัดพฤติกรรมหมายถึง การให้ผู้รับการปรึกษามีพฤติกรรมที่ค่อยๆ นำไปสู่พฤติกรรมที่ต้องการ แต่ละพฤติกรรมที่ใกล้เคียงหรือเข้าใกล้พฤติกรรมที่ต้องการจะได้รับรางวัล
การฝึกหัดภายใน หมายถึง การฝึกหัดโดยการจินตนาการเห็นภาพตนเองแสดงทักษะทางสังคมได้ดีมาก
สิ่งที่สำคัญประการหนึ่งคือ การบอกสิ่งที่ผู้รับการปรึกษาต้องปรับปรุงจากการทดลองแสดงบทบาท และใช้คำชมสำหรับสิ่งที่แสดงดีแล้ว ทั้งนี้ผู้ให้การปรึกษาจะต้องระบุอย่างชัดเจนเป็นพฤติกรรมที่วัดได้ มีการบันทึกวิดีโอและเปิดให้ผู้รับการปรึกษาดู ซึ่งเป็นวิธีการให้ข้อมูลย้อนกลับอย่างมีประสิทธิภาพ
๒. การปรับพฤติกรรม
เทคนิคการปรับพฤติกรรมมีชื่อเรียกหลายอย่าง โดยใช้หลักการวางเงื่อนไขแบบลงมือกระทำ เทคนิคนี้ใช้หลักการไม่ซับซ้อน โดยให้รางวัลเพื่อสร้างความถี่ของพฤติกรรมที่พึงประสงค์ และการไม่เสริมแรงกับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ หลักการนี้ถูกนำมาใช้เพื่อให้เกิดการลดภาวะ ในการฝึกอบรมบิดามารดา (เพื่อปรับพฤติกรรมเด็ก) การให้เบี้ยรางวัล ในโรงพยาบาล และการทำสัญญาเรื่องพฤติกรรม
๓. การฝึกอบรมบิดามารดา
ผู้ให้การปรึกษาแสดงบทบาทเป็นครูสอนเทคนิคการวางเงื่อนไขแบบลงมือกระทำ การสอนอาจสอนเป็นกลุ่ม เป็นคู่ หรือสอนเป็นรายบุคคล โดยพื้นฐานบิดามารดาถูกสอนให้งดรางวัล กับพฤติกรรมที่ไม่ต้องการ แต่ให้รางวัลกับพฤติกรรมที่พึงประสงค์ บิดามารดาจะต้องสื่อสารให้บุตรเข้าใจอย่างชัดเจนว่า พฤติกรรมแบบไหนที่พึงประสงค์ นอกจากนี้บิดามารดาต้องมีความสม่ำเสมอในการให้และงดรางวัลแก่เด็ก ให้รางวัลที่เหมาะสมกับความต้องการเด็ก และลดพฤติกรรมในทางลบของการเป็นบิดามารดา หลักการง่ายๆ นี้บางครั้งเป็นเรื่องยากสำหรับบิดามารดาบางคนที่ไม่รู้จักแสดงความอบอุ่นหรือความรักต่อลูก ดังนั้นจะกล่าวชมเชยลูกเมื่อมีพฤติกรรมที่ตรงใจบิดามารดาบางครั้งก็เป็นเรื่องที่ลำบากใจ ผู้ให้การปรึกษาควรนำประเด็นนี้มาพูดคุยก่อนจะให้บิดามารดานำเทคนิคการเสริมแรงไปใช้
๔. การทำให้พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเด็กเข้าสู่ขั้นการลดภาวะ โดยการใช้เวลานอก
การใช้เวลานอกหมายถึงการนำเด็กออกมาจากสถานการณ์ที่เด็กได้รับรางวัลไปสู่สถานการณ์ที่เด็กไม่ได้รับรางวัลทางสังคม ดังนั้นการใช้เวลานอกจึงจัดให้เป็นการลงโทษทางลบ เพราะสิ่งที่พึงพอใจถูกขจัดไป
จากผลงานการวิจัยหลายชิ้นพบว่า การใช้เวลานอก เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมพฤติกรรมที่มีปัญหาของเด็ก พ่อแม่และเด็กรู้สึกพึงพอใจกับวิธีการ นอกจากนี้พฤติกรรมด้านอื่นๆ ของเด็ดมีพัฒนาการที่ดีขึ้น รวมทั้งพฤติกรรมของพี่น้องของเด็กที่ถูก ใช้เวลานอกด้วย
๕. เบี้ยรางวัล
เบี้ยรางวัลเป็นสิ่งที่ถูกนำมาใช้แทนเงินจริง ในการให้แรงเสริมกับพฤติกรรมที่พึงประสงค์ จำนวนเบี้ยที่ถูกสะสมได้จะถูกนำมาแลกเป็นสิ่งต่างๆ แล้วแต่จะกำหนดว่าให้เป็นอะไร
๖. การทำสัญญาเรื่องพฤติกรรม
เป็นการทำสัญญาพฤติกรรมระหว่างผู้รับการปรึกษา กับผู้ให้การปรึกษา ถ้าเขาลงมือปฏิบัติตามแผนเขาจะได้รับรางวัลจากผู้ให้การปรึกษา สัญญาที่ทำนอกจากจำกำหนดพฤติกรรมที่ได้รับรางวัลแล้วยังกำหนดการลงโทษด้วยการงดรางวัลที่เคยได้ถ้าไม่สามารถกระทำพฤติกรรมที่ตกลงกันได้เรียกว่า Response Cost
๗. การลงโทษ
ปกติแล้วผู้รับการปรึกษาไม่แสดงพฤติกรรมตามที่ตกลงไว้ การลงโทษที่ใช้คือ Response Cost เป็นการงดตัวเสริมแรงทางบวก
๘. การจัดการ / การควบคุมตนเอง
นักพฤติกรรมบำบัดสอนให้ผู้รับการปรึกษาใช้หลักการให้รางวัลและหลักการปรับพฤติกรรม เพื่อจัดการกับพฤติกรรมของตน เริ่มต้นโดยให้ผู้รับการปรึกษา กำหนดปัญหาและกำหนดพฤติกรรมที่พึงประสงค์ หลังจากนั้นให้บันทึกประเมินพฤติกรรมที่ต้องปรับปรุงในทุกสัปดาห์ การทำบันทึกประเมินพฤติกรรมมีผลทำให้เพิ่มความรู้ตัวมากขึ้น ผู้ให้การปรึกษาและผู้รับการปรึกษาร่วมกันกำหนดพฤติกรรมที่สร้างขึ้นใหม่ โดยที่ผู้ให้การปรึกษาจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามบริบทและเวลาที่กำหนดไว้ การควบคุมตนเองนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Self-monitoring ถ้าผู้รับการปรึกษาสามารถควบคุมตนเองได้ตามที่กำหนดไว้เขาจะให้รางวัลตนเอง
ข้อดี
๑. เป็นการให้การปรึกษาที่จัดการโดยตรงกับอาการหรือปัญหา ผู้รับการปรึกษาส่วนมากแสวงหาการช่วยเหลือเพราะมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นกับตน ดังนั้นผู้ให้การปรึกษาแบบพฤติกรรมนิยมจะดำเนินการช่วยเหลือได้ค่อนข้างทันควันกับปัญหาที่นำเสนอ
๒. ให้ความสำคัญกับขณะปัจจุบัน ผู้รับการปรึกษาไมจำเป็นต้องสำรวจอดีตเพื่อได้รับความช่วยเหลือในปัจจุบัน วิธีเช่นนี้จะช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย
๓. ผู้ให้การปรึกษามีโอกาสเลือกเทคนิคหลายชนิด ทำให้สามารถเลือกใช้เทคนิคได้อย่างเหมาะสมกับหน่วยงานที่สังกัดนอกจากนี้ผู้ให้การปรึกษามีโอกาสเลือกอ่านวารสารที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมหลายฉบับ เนื่องจากมีวารสารที่เกี่ยวข้องค่อนข้างมาก
๔. ทฤษฎีนี้ได้รับการสนับสนุนจาก The Association for the Advance of Behavior Therapy นอกจากนี้ยังส่งเสริมการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ให้การปรึกษาแบบพฤติกรรมนิยมและปกป้องสาธารณชนจากผู้ให้การปรึกษาที่ทำหน้าที่ไม่เหมาะสม
๕. เป็นการให้คำปรึกษาที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ทำให้มีการนำทฤษฎีไปประยุกต์ใช้กับการแก้ไขปัญหาที่หลากหลาย
๖. เป็นทฤษฎีที่ได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยมากมายถึงประสิทธิภาพของการใช้เทคนิคในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
๗. การกำหนดปัญหาและการจัดการกับปัญหากระทำอย่างเป็นปรวิสัย กระบวนการปรึกษาค่อนข้างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน
ข้อจำกัด
๑. การให้การปรึกษาไม่ได้จัดการกับบุคคลโดยภาพรวม เพราะดำเนินการเฉพาะกับพฤติกรรมที่สังเกตเห็นภายนอก นักพฤติกรรมบำบัดหลายคนได้กระทำการเสมือนเป็นการจำกัดบุคลิกภาพของมนุษย์ เพราะมองเฉพาะพฤติกรรมที่แสดงออกของสภาพแวดล้อม การให้ความสำคัญเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมหรือการตอบสนองกับตัวเสริมแรงในสถานการณ์ต่างๆ ทำให้ดูง่ายเกินไปในการอธิบายปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลซึ่งข้อเท็จจริงเป็นเรื่องค่อนข้างซับซ้อน
๒. การนำทฤษฎีไปประยุกต์ใช้ บางครั้งกระทำเสมือนช่างที่ปฏิบัติงานตามขั้นตอน นั้นคือข้อผิดพลาดส่วนใหญ่ของนักพฤติกรรมบำบัดมือใหม่ คือการเริ่มต้นใช้เทคนิคมากเกินไป โดยไม่ระมัดระวังในการสร้างสัมพันธภาพและพยายามให้ผู้รับการปรึกษามีส่วนร่วม แต่ก็มีนักพฤติกรรมบำบัดอีกจำนวนหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับการมีสัมพันธภาพ ลักษณะที่ไม่เป็นเอกภาพเช่นนี้ส่งผลให้เกิดภาพลบต่อการช่วยเหลือ
สรุป
การให้คำปรึกษาแบบพฤติกรรมนิยมได้พัฒนาขึ้นระหว่างศตวรรษที่ ๒๐ จากงานวิจัยของ บี เอฟ สกินเนอร์ , อีวาน พาฟลอฟ , จอห์น บี วัตสัน , โจเซฟ โวลเป้ เป็นต้น ทฤษฎีนี้มีหลักการว่า เมื่อพฤติกรรมเกิดจากการเรียนรู้ ดังนั้นสามารถทำให้เลิกเรียนรู้ได้ นักพฤติกรรมบำบัดจะทำการประเมินความถี่ของพฤติกรรมที่เป็นปัญหา เพื่อกำหนดเกณฑ์เปรียบเทียบ และทำการแทรกแซงช่วยเหลือ วิธีการดำเนินการจะส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ใหม่โดยใช้หลักการวางเงื่อนไขแบบลงมือกระทำ การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก และการเรียนรู้จากตัวแบบ เทคนิคที่ใช้มีมากมาย สามารถเลือกใช้ตามประเภทของปัญหา กลวิธีได้ขยายครอบคลุมการจัดการตนเอง และเพิ่มการร่วมกันดำเนินงานให้มากขึ้นระหว่างผู้ให้การปรึกษาและผู้ขอความช่วยเหลือ ประสิทธิผลของทฤษฎีนี้ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายประการ ได้แก่ ประสบการณ์ฝึกอบรม ความรู้และทักษะของผู้ให้การปรึกษา ตลอดจนความคาดหวัง แรงจูงใจ และความร่วมมือของผู้รับการปรึกษา