การให้คำปรึกษารายบุคคล ( Individual Counseling)
การให้คำปรึกษานี้มีลักษณะที่แตกต่างจากการให้บริการอื่นๆ ดังนี้ คือ
1.
มีทฤษฏี กระบวนการและเทคนิคการให้คำปรึกษาให้ครูได้เลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมกับลักษณะของปัญหาและธรรมชาติของนักเรียน
นักศึกษา
2.
เน้นสัมพันธภาพที่ดีระหว่างครูผู้ให้และนักเรียน นักศึกษาผู้รับคำปรึกษา
เพื่อให้เขาเกิดความรู้สึกไว้วางใจ และกล้าเปิดเผยตนเอง ซึ่งจะช่วยให้การให้คำปรึกษาดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ใช้การสนทนา หรือการสื่อสารสองทางระหว่างครูกับนักเรียน
เป็นเครื่องมือสำคัญของการให้คำปรึกษา
3.
เน้นปัจจุบัน เพื่อให้นักเรียน นักศึกษา อยู่ในโลกของความเป็นจริง
และสามารถค้นหาแนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้ในปัจจุบัน
4.
ไม่มีคำตอบสำเร็จรูปตายตัว
เพราะการให้คำปรึกษาเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์
วิธีการแก้ปัญหาในแต่ละกรณีจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และสภาพปัญหา
โดยนักเรียน นักศึกษา จะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกแนวทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
5.
ครูผู้ให้คำปรึกษาต้องให้เกียรติ และยอมรับนักเรียน นักศึกษา ที่มาขอรับคำปรึกษาอย่างไม่มีเงื่อนไข
ไม่ตัดสิน ไม่ประเมินและไม่วิพากษ์ วิจารณ์ หรือตำหนิ
วัตถุประสงค์ของการให้คำปรึกษา
การให้คำปรึกษาแก่นักเรียนมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยนักเรียน นักศึกษาในเรื่องต่อไปนี้
1. สำรวจตนเอง
และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ และเข้าใจ
2. ลดระดับความเครียด
และความไม่สบายใจที่เกิดการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
3. พัฒนาทักษะทางด้านสังคม
ทักษะการตัดสินใจ และทักษะการจัดการกับปัญหาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
4. เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทิศทางที่พึงประสงค์
เช่น มีความรับผิดชอบในหน้าที่ต่างๆ มากขึ้น มีพฤติกรรมการเรียนที่ดี
และสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นได้ดีขึ้น
ประเภทของการให้คำปรึกษา
การให้คำปรึกษาแบ่งเป็น
2 ประเภท คือ
1. การให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคล เป็นกระบวนการช่วยเหลือโดยมีการพบปะเป็นการส่วนตัว ระหว่างผู้ให้คำปรึกษากับผู้รับบริการ ซึ่งจะเป็นการช่วยให้ผู้รับบริการ
ได้เข้าใจตนเองและสิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้น สามารถวางโครงการในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมิใช่เฉพาะจะสามารถแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่เท่านั้น แต่ จะช่วยให้มีทักษะในการแก้ปัญหาอื่นๆ ได้ด้วยตนเอง
2. การให้คำปรึกษาเป็นกลุ่ม เป็นการให้คำปรึกษามากกว่า 1 คนในแต่ละครั้ง
แต่ไม่เป็นกลุ่มใหญ่เกินไป ประมาณ 7-10 คน
เพราะถ้าเป็นกลุ่มใหญ่มากเกินไปการให้คำปรึกษาอาจไม่ทั่วถึง ประการสำคัญเป็นเรื่องทางจิตวิทยาที่เกี่ยวกับความรู้สึก
อารมณ์ ที่จะถ่ายทอดให้แก่กันของคนในกลุ่ม การให้คำปรึกษาเป็นกลุ่มนี้เหมาะกับกลุ่มนักเรียน นักศึกษาที่มีปัญหาคล้ายคลึงกัน นัดหมายมาพบกันเพื่อจุดประสงค์เดียวกัน คือ การแก้ไขปัญหาและข้อบกพร่องของตน
ความรู้พื้นฐานสำหรับอาจารย์ประจำชั้นและอาจารย์ที่ปรึกษาในการให้คำปรึกษา
1. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์
- มนุษย์ต้องอยู่ร่วมกันเป็นสังคม
- มนุษย์มีความแตกต่างกันทางด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์
- พฤติกรรมของมนุษย์ย่อมมีสาเหตุ
- มนุษย์มีเกียรติและศักดิ์ศรี
- มนุษย์มีอารมณ์และเหตุผล
- มนุษย์ย่อมเห็นประโยชน์ส่วนตัว
- มนุษย์มักกล่าวโทษผู้อื่น
- มนุษย์ชอบความแปลกใหม่
- มนุษย์ชอบเปรียบเทียบ
- มนุษย์มีความคาดหวัง
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์จะทำให้อาจารย์ที่ปรึกษาเข้าใจนักเรียน
นักศึกษามากยิ่งขึ้น
2. ความต้องพื้นฐานของมนุษย์ (ตามทฤษฎีของ Maslow)
- ขั้นที่ 1 ความต้องการทางด้านร่างกาย
- ขั้นที่ 2 ความต้องการทางด้านความมั่นคงปลอดภัย
- ขั้นที่ 3 ความต้องการความรักและการมีส่วนร่วม
- ขั้นที่ 4 ความต้องการเห็นคุณค่าในตนเอง
- ขั้นที่
5 ความต้องการบรรลุภาวะสัจจการแห่งตน
3. พฤติกรรมของมนุษย์
พฤติกรรมของมนุษย์
เกิดจากการเรียนรู้ที่ได้รับการเสริมแรงแสดงออกได้ ทั้งพฤติกรรมที่พึงประสงค์และพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์
พฤติกรรมต่างๆของมนุษย์ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องประสบการณ์อีกด้วย
ทั้งการเรียนรู้และประสบการณ์ทำให้มนุษย์มีพฤติกรรมที่แตกต่างกันออกไป
การที่พฤติกรรมของนักเรียน นักศึกษาแต่ละคนแตกต่างกันยังเป็นเรื่องของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
คุณสมบัติที่สำคัญของผู้ให้คำปรึกษา
ในการทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษานั้น
อาจารย์ที่ปรึกษาต้องควรมีคุณสมบัติที่สำคัญๆดังนี้
1. มีบุคลิกภาพที่อบอุ่นและเป็นมิตร
2. มีลักษณะน่าไว้วางใจ น่าเคารพ น่าเชื่อถือ และรักษาความลับได้
3. มีความสนใจในการช่วยเหลือผู้อื่น มีคุณธรรม เมตตาธรรม และเสียสละ
4. รู้จักพูด
เพื่อให้ผู้รับคำปรึกษารับทราบปัญหาที่แท้จริง และแก้ปัญหาของนักเรียน
นักศึกษาได้ด้วยตนเองโดยไม่พึ่งพิงอาจารย์ผู้ให้คำปรึกษา
5. รู้จักฟังและสามารถฟังจับประเด็นได้เร็วและกระจ่างชัด มีความอดทนต่อการรับฟังปัญหาของนักเรียน นักศึกษาด้วยความตั้งใจและสนใจฟัง
6. สามารถอธิบายและคลี่คลายปมประเด็นต่างๆ
ให้ชัดเจนและเข้าใจได้ง่าย
7. สามารถที่จะช่วยให้ผู้รับคำปรึกษารับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตนเอง
โดยผู้ให้คำปรึกษาจะไม่ตัดสินใจแทน
8. มีสุขภาพจิตดี มีอารมณ์มั่นคงเสมอต้นเสมอปลาย รักเพื่อนมนุษย์
กระบวนการให้คำปรึกษา
กระบวนการให้คำปรึกษา
อาจสรุปได้ 5 ขั้นตอนดังนี้คือ
ขั้นตอนที่ 1 การสร้างสัมพันธภาพ
ผู้ให้คำปรึกษาต้องทำให้ผู้รับคำปรึกษาเกิดความอบอุ่น สบายใจ
และไว้วางใจ
ขั้นตอนที่ 2 สำรวจปัญหา ผู้ให้คำปรึกษาช่วยให้ผู้รับคำปรึกษาได้สำรวจปัญหาและปัจจัยต่าง
ๆ ที่ทำให้เกิดปัญหาด้วยตัวของเขาเอง
ขั้นตอนที่ 3 เข้าใจปัญหา สาเหตุ ความต้องการ ผู้ให้คำปรึกษาช่วยให้ผู้รับคำปรึกษาเข้าใจปัญหา สาเหตุ และความต้องการของตนเอง
ขั้นตอนที่ 4 วางแผน แก้ปัญหา ผู้ให้คำปรึกษาช่วยให้ผู้รับคำปรึกษาพิจารณาวิธีแก้ปัญหาและตัดสินใจเลือกสิ่งที่จะปฏิบัติด้วยตนเอง
ขั้นตอนที่ 5 ยุติการให้คำปรึกษา
ผู้ให้คำปรึกษาย้ำความเข้าใจที่เกิดขึ้นระหว่างที่ให้คำปรึกษา
และช่วยให้ผู้รับคำปรึกษามีแรงจูงใจและกำลังใจที่จะแก้ปัญหาและพัฒนาตนเอง
เทคนิคการให้คำปรึกษา (ทุกคนมีส่วนร่วมในหัวข้อนี้)
1. การเริ่มต้นให้คำปรึกษา (Opening the
Interview)
ผู้ให้คำปรึกษาจะต้องสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้รับคำปรึกษา
เพื่อให้มีบรรยากาศที่ดี อบอุ่น และเกิดความเป็นกันเอง เช่น การกล่าวคำต้อนรับ
เป็นต้น
2. การสร้างสายสัมพันธ์ (Establishing
Rapport)
เมื่อเริ่มต้นการสนทนาไปแล้วสิ่งที่ตามมาก็คือ
การสร้างสายสัมพันธ์ เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้การพูดคุยกันดำเนินไปสู่จุดมุ่งหมาย การสร้างสายสัมพันธ์จะต้องกระทำอย่างระมัดระวังเพราะเป็นเทคนิคที่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อนมาก โดยทั่วไปแล้วจะต้องทราบภูมิหลังของผู้รับคำปรึกษา เพื่อนำมาเป็นเครื่องมือในการสร้างความสัมพันธ์ต่อไป อาจจะพูดถึงเรื่องที่ผู้รับคำปรึกษามีความถนัด
และสนใจเป็นพิเศษเพื่อช่วยให้เขาสามารถพูดได้อย่างมั่นใจ ช่วยให้เขามีความสุขและพร้อมที่จะพูดต่อไป
3. การตั้งคำถาม (Questioning)
กระบวนการให้คำปรึกษานั้น
ผู้ให้คำปรึกษาจะต้องไม่ใช้การแนะนำ แต่จะใช้การตั้งคำถาม
เพื่อช่วยให้ผู้รับคำปรึกษาเกิดความเข้าใจตนเองดีขึ้น เกิดความรู้สึกกระจ่างขึ้น
เช่น อะไรเป็นสาเหตุทำให้เธอตัดสินใจเช่นนั้น
หรือเธอได้จ่ายเงินซื้อของไปนั้นคุ้มกับประโยชน์ที่ใช้หรือไม่
4. การแนะนำ (Suggesting) ในบางกรณีผู้ให้คำปรึกษาจะพบว่าผู้รับคำปรึกษามีความสนใจต่อปัญหาต่างๆ และไม่สามารถจะโต้ตอบได้ จึงต้องมีการแนะกันบ้าง เพื่อให้เกิดความรู้สึกหรือพอมองเห็นช่องทางที่จะแก้ปัญหา
5. การตีความหมาย (Interpreting)
การช่วยตีความหมายในสิ่งที่ผู้รับคำปรึกษากล่าวไปแล้ว
เพื่อจะช่วยให้เกิดความเข้าใจชัดเจนขึ้น
6. การเงียบและการฟัง (Silent
and Listening)
เป็นกลวิธีที่จะช่วยให้ผู้รับคำปรึกษาเล่าเรื่องของตนได้ดีขึ้น การเงียบจะช่วยให้เกิดสมาธิ และรวบรวมคำพูดต่าง ๆ ได้รวดเร็วขึ้น เช่น
นักศึกษา: อาจารย์ครับตอนนี้ผมเดือดร้อนมากไม่มีค่าเช่าหอ เขาจะไล่ผมออก
อาจารย์ช่วยผมด้วย
ผู้ให้คำปรึกษา : ……. (เงียบและฟัง)
7. การทำให้กระจ่างแจ้ง (Clarifying)
ผู้ให้คำปรึกษากล่าวถึงสิ่งที่ผู้รับคำปรึกษาพูดไปแล้วอีกครั้งหนึ่ง
โดยไม่เปลี่ยนเนื้อหาคำพูดนั้นๆ เลย จะทำให้ผู้รับคำปรึกษารู้สึกเข้าใจในเรื่องที่เขาอาจเข้าใจผิดอยู่ได้
และมองเห็นคำพูดของตนในแง่ที่เป็นกลางมากขึ้น เช่น
นักศึกษา : “ผมไม่มั่นใจว่าจะเรียนจบหรือเปล่า
ดูเหมือนปัญหามันมากเหลือเกิน”
ผู้ให้คำปรึกษา: “ไหนลองบอกครูซิว่า อะไรทำให้เธอไม่มั่นใจ”
8. การสะท้อนความรู้สึก (Reflection of feeling) คือ การที่ผู้ให้คำปรึกษาตีความหมายของคำพูด
ซึ่งแสดงความรู้สึกที่สำคัญของผู้รับคำปรึกษา แล้วเปลี่ยนคำพูดใหม่
โดยเน้นเนื้อหาสาระเดิมเพื่อจะทำให้ผู้รับคำปรึกษาเกิดความเข้าใจความรู้สึกของตนอย่างลึกซึ้ง
และกล้าเผชิญกับความรู้สึกของตน เช่น
นักศึกษา: ผมเป็นคนเดียวที่ครูมักจะคอยจับผิดและมักจะใช้ผมทำงานมากกว่าใคร
ผู้ให้คำปรึกษา : ในความรู้สึกของเธอ เธอคิดว่าครูไม่ให้ความยุติธรรมแก่เธอเท่ากับเพื่อนๆ
ใช่ไหม
9. การสอบซักถาม (Probing) คือ การที่ผู้ให้คำปรึกษาตั้งคำถามตรงๆ เพื่อค้นหารายละเอียดจากผู้รับคำปรึกษา
นักศึกษา: หนูไม่ชอบเรียนคณะวิชาสัตวศาสตร์
ผู้ให้คำปรึกษา : แล้วเธอชอบเรียนอะไร
นักศึกษา: หนูชอบเรียนบริหารธุรกิจ
ผู้ให้คำปรึกษา : ทำไมเธอจึงชอบเรียนบริหารธุรกิจ
นักศึกษา: หนูชอบขายของ ชอบงานขายตรง
ชอบงานสบาย งานสัตวศาสตร์หนัก
ผู้ให้คำปรึกษา : หนูชอบขายของ
ชอบงานขายตรง ชอบงานสบาย งานสัตวศาสตร์หนัก แล้วหนูคิดว่างานที่เกี่ยวกับบริหารธุรกิจจะสบายหรือ?
ข้อควรคำนึงในการให้คำปรึกษา
การให้คำปรึกษาแก่นักเรียน นักศึกษาครูควรปฏิบัติดังนี้
1. ตรงต่อเวลานัดหมายทั้งเริ่มต้น
และสิ้นสุดการให้คำปรึกษา โดยทั่วไปแล้วการให้คำปรึกษาแต่ละครั้ง ควรใช้เวลา 45-50
นาที สำหรับการให้คำปรึกษารายบุคคล และ 60-90 นาที
สำหรับการให้คำปรึกษากลุ่ม และควรอยู่ในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 3 เดือน ต่อราย หรือต่อกลุ่ม รวมทั้งหลีกเลี่ยงการนัดหมายอื่นๆ
2. ให้ความสำคัญกับภาษาท่าทางของนักเรียน นักศึกษาให้มาก หากพบว่าคำพูดกับท่าทางของเขา ขัดแย้งกัน ให้เชื่อภาษาท่าทางและสะท้อนกลับให้เขารับรู้ เพื่อให้เขาเข้าใจตัวเองมากขึ้น เช่น “เธอบอกว่าเธอเสียใจกับเรื่องนี้มาก แต่ขณะที่เธอพูดว่าเสียใจ ครูเห็นเธอยิ้ม จริงๆ แล้วเธอรู้สึกอย่างไร”
3.
หลีกเลี่ยงการถามข้อมูลที่ละเอียดอ่อน หรือเจาะจงเกินไป
เพราะอาจทำให้นักเรียน นักศึกษาอึดอัดใจ และไม่ให้ความร่วมมือในการปรึกษาได้
4.
หลีกเลี่ยงการแนะนำให้นักเรียน นักศึกษา ปฏิบัติตามความเห็นของครู
เพราะเขาอาจเคยปฏิบัติในสิ่งที่ครูแนะนำมาแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จ
หรืออาจเป็นคำแนะนำที่เขาไม่ต้องการ ซึ่งจะทำให้เขาหลีกเลี่ยงที่จะมารับคำปรึกษาต่อไป
5. หลีกเลี่ยงการเกิดอารมณ์ร่วมและการเห็นชอบกับพฤติกรรมของนักเรียน
นักศึกษา ที่จะเป็นการเสริมแรงให้เขาคิดและทำพฤติกรรมเหมือนเดิมทำให้เขาไม่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
6. ไม่ควรรีบด่วนที่จะสรุปและแก้ปัญหา
โดยที่นักเรียน นักศึกษา ไม่มีโอกาสได้สำรวจปัญหา และสาเหตุมากพอ
7. หลังจากการให้คำปรึกษาแต่ละครั้งแล้ว
ครูควรบันทึกผลการให้คำปรึกษาไว้เพื่อเป็นข้อมูลในการให้คำปรึกษาต่อไป
8. ต้องรักษาความลับ และประโยชน์ของนักเรียน นักศึกษาโดยต้องระมัดระวังที่จะไม่นำเรื่องราวของเขาไปพูดในที่ต่างๆ
แม้จะไม่เอ่ยชื่อก็ตาม เพราะคนฟังอาจปะติดปะต่อเรื่องราวเอง
หรือสอบถามกันจนรู้ว่าเป็นเรื่องราวของนักเรียน นักศึกษาคนใด ซึ่งจะส่งผลเสียหายต่อนักเรียน
นักศึกษาคนดังกล่าว และกระทบถึงความน่าเชื่อถือไว้วางใจของระบบการให้คำปรึกษาได้
นอกจากนี้ยังควรมีคุณลักษะที่สำคัญ คือ มีบุคลิกภาพที่ดี และการรักษาความลับ
อย่างไรก็ตาม ในการให้คำปรึกษาแก่นักเรียน
นักศึกษา หากอาจารย์ที่ปรึกษาพิจารณาแล้วเห็นว่า เรื่องที่นักเรียน
นักศึกษามาขอรับคำปรึกษานั้น เป็นเรื่องที่มีความสลับซับซ้อน
เป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อนสมควรขอความช่วยเหลือ ต้องการส่งต่อผู้เรียนและปัญหาดังกล่าวไปยังงานที่เกี่ยวข้องเช่นงานแนะแนวของโรงเรียน
หรือมหาวิทยาลัย ซึ่งมีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาเป็นอย่างดี ก็สามารถทำได้และถือเป็นเรื่องที่สมควรอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เขาได้แก้ปัญหาได้ตรงจุด
อย่างไรก็ดีบางครั้งอาจใช้วิธีการแนะแนวครู เพื่อให้ครูช่วยเหลือนักเรียน นักศึกษาผู้นั้นต่อ
เพราะนักเรียน นักศึกษา ถ้าเข้าหาอาจารย์ท่านใดก็แสดงว่าเขาไว้วางใจอาจารย์ท่านนั้นๆ
จงภูมิใจที่เราได้ช่วยนักเรียน นักศึกษาของเรา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น