วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทฤษฎียึดบุคคลเป็นศูนย์กลางการบำบัดรักษาของ คาร์ล อาร์ โรเจอร์

ทฤษฎียึดบุคคลเป็นศูนย์กลางการบำบัดรักษาของ คาร์ล อาร์ โรเจอร์
 

                คาร์ล โรเจอร์ ได้พัฒนาทฤษฎีการเข้าใจตนเองอย่าง  ถ่องแท้  ในแง่ที่คนเรามีแรงขับพื้นฐานภายในที่จะบรรลุถึงศักยภาพสูงสุดของตัวเองซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เรียกว่า  Self-Actualizingโรเจอร์ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการเลี้ยงดู  โดยเฉพาะการเลี้ยงดูของแม่ที่จะมีอิทธิพลกับบุคลิกภาพของลูก และให้ความสำคัญกับอัตมโนทัศน์ (Self Concept) ที่เป็นมุมมองที่คนเรามีเกี่ยวกับตนเองนั้นว่าประกอบด้วย  3  ส่วน  ได้แก่ 

Ø ตัวตนในอุดมคติ (IdealSelf)

Ø ภาพลักษณ์เกี่ยวกับตัวตนที่ดี (Self Image)

Ø การเห็นคุณค่าในตนเอง (Self-esteem) 

แนวคิดของ คาร์ล  อาร์  โรเจอร์

                ในการบำบัดแบบผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง โรเจอร์ให้ความสำคัญกับเหตุผลเป็นอันดับรอง โรเจอร์เชื่อว่า สัญชาตญาณของมนุษย์ชาญฉลาดกว่าสติปัญญา สติปัญญาชาญฉลาดกว่าความคิดที่รู้สำนึก ตามแนวคิดของโรเจอร์ มนุษย์ควรจะสามารถเชื่อในความรู้ภายในตัวเอง หรือความรู้สึก ตามสัญชาตญาณของตนมากขึ้น เมื่อมนุษย์กระทำการตามสัญชาตญาณ มนุษย์สามารถเชื่อในปฏิกริยาของอินทรีย์ทั้งครบของตนเอง ซึ่งบ่อยครั้งให้ผลถึงการตัดสินใจที่ดีกว่า ผู้ที่ทำการโดยการคิดแบบรู้สำนึกเพียงอย่างเดียว แม้ว่าจะเป็นการกระทำโดยใช้สัญชาตญาณมากกว่าก็ตาม

                ตามแนวคิดของโรเจอร์ มนุษย์มีความโน้มเอียงที่จะทำให้ตนเองประสบความสำเร็จ และนิยามความโน้มเอียงนี้ว่า ความโน้มเอียงโดยธรรมชาติของอินทรีย์ที่จะพัฒนาความสามารถทั้งหมดของตนเอง ซึ่งช่วยในการธำรงไว้ และความก้าวหน้าของอินทรีย์นั้น ความโน้มเอียงที่จะทำให้ตนเองประสบความสำเร็จ เป็นแรงผลักดันหลักของมนุษย์

                ตามแนวคิดนี้ โรเจอร์มุ่งเน้นความโน้มเอียงของมนุษย์ต่อการเติบโตทางกาย วุฒิภาวะ และความต้องการมีความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลอย่างใกล้ชิด และความโน้มเอียงของเขาที่จะจัดตนเองเข้าในสภาพแวดล้อม เพื่อจะไปสู่ความเป็นอิสระของตนเอง จากการควบคุมภายนอกต่างๆ หน้าที่ของผู้ให้คำปรึกษาแบบผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง ไม่ได้เป็นการชี้นำ หรือทำให้ปัญหากระจ่างขึ้นสำหรับผู้รับคำปรึกษา แต่ช่วยให้ผู้รับคำปรึกษาคิดทบทวนภายในตนเอง โดยจัดให้เกิดบรรยากาศที่ช่วยส่งเสริมการ      กระทำดังกล่าว โดยอาศัยการยอมรับตนเองของผู้รับคำปรึกษา ผู้ให้คำปรึกษาช่วยให้เขาสามารถแสดงออก พิจารณา และทำให้ประสบการณ์ที่ตรงกัน หรือไม่ตรงกัน ก่อนหน้านี้สามารถประสานเข้าในมโนภาพของตัวตนของเขา บุคคลจะค่อยๆ ยอมรับตนเอง และเรียนรู้ที่จะยอมรับผู้อื่น และกลายเป็นบุคคลที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ดังนั้น สำหรับโรเจอร์ จึงดูเหมือนว่าหัวใจมีความสำคัญมากกว่าหัวสมองในการให้คำปรึกษา

หลักการทฤษฎียึดบุคคลเป็นศูนย์กลางการบำบัดรักษา

                ทฤษฎียึดบุคคลเป็นศูนย์กลาง  เชื่อว่า มนุษย์เป็นผู้ที่มีเหตุผลมีความสามารถในการแก้ไขปัญหา และสามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้ มีคุณค่า มีศักดิ์ศรี มีความปรารถนาที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อให้เป็นคนโดยสมบูรณ์ และพร้อมที่จะดำเนินชีวิตร่วมกันในอันที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่การที่มนุษย์ปฏิบัติตัวไม่เหมาะสมนั้น เนื่องจากเขามีความจำเป็นต้องป้องกันตนเองให้อยู่รอด นอกจากนี้ยังเชื่อว่า บุคลิกภาพของมนุษย์เกิดขึ้นจากความคิด ความรู้สึกของบุคคลต่อตนเอง (Self concept) ซึ่ง Self concept นี้จะประกอบไปด้วย

·       ตัวตนในสภาพที่เป็นจริง (Real self)

·       ตัวตนที่เราคิดว่าเราเป็น (Perceived self)

·       ตัวตนในอุดมคติ (Ideal self)

                ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อว่าปัญหาที่สร้างความทุกข์ของบุคคล เกิดจากความไม่สอดคล้องกันระหว่างสิ่งที่บุคคลต้องการ กับ สิ่งที่บุคคลเป็นอยู่

Ø ทฤษฎียึดบุคคลเป็นศูนย์กลางนั้นจะเน้นการให้คำปรึกษาแบบไม่นำทาง เพราะมุ่งเน้นในตัวของผู้รับคำปรึกษาจากการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อ การสร้างสรรค์และตระหนักรู้แห่งตนของผู้รับคำปรึกษา ให้ผู้รับคำปรึกษาเห็นความสำคัญต่อการรับผิดชอบ และความสามารถในตัวของผู้รับคำปรึกษาเอง ค้นหาพฤติกรรมที่เหมาะสมสำหรับตนเอง ด้วยการเปิดรับประสบการณ์  มีความไว้วางใจในตนเอง เพื่อให้เป็นตัวของตัวเองอย่างที่เป็นอย่างถูกต้อง

Ø ทฤษฎียึดบุคคลเป็นศูนย์กลางเป็นตัวอย่างหนึ่งของการสร้างสัมพันธภาพของบุคคล  โดยการช่วยเหลือที่ผ่านสัมพันธภาพกับผู้ให้คำปรึกษาที่ให้ความเอาใจใส่  เข้าใจและมีความจริงใจ เป็นสัมพันธภาพกับผู้ให้คำปรึกษาที่มีความสอดคล้องระหว่างพฤติกรรมการแสดงออกกับความรู้สึกและความคิดภายใน มีการยอมรับ เอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่เน้นการใช้เทคนิคที่ตายตัว ผู้ให้คำปรึกษาจะใช้เจตคติในการเอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพ  โดยผู้ให้คำปรึกษาควรมีคุณลักษณะของสัมพันธภาพการให้คำปรึกษา ที่จะนำไปสู่การสร้างบรรยากาศทางจิตวิทยาอย่างเหมาะสม การติดต่อกันทางจิตใจ บุคคลสองคนมีสัมพันธภาพต่อกันและมีผลกระทบซึ่งกันและกัน

                จากทฤษฎียึดบุคคลเป็นศูนย์กลาง ทำให้มองเห็นทัศนะของการมองมนุษย์ของผู้ให้คำปรึกษา ที่ยึดผู้รับคำปรึกษามากกว่าผู้ให้คำปรึกษา ด้านการเป็นศูนย์กลาง การให้ความสำคัญ การมุ่งเน้น และการตัดสินใจของกระบวนการให้คำปรึกษา โดยให้ความสำคัญแก้สัมพันธภาพแหล่งเบื้องต้น เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพของผู้รับคำปรึกษา  มองถึงความสำคัญของเจตคติผู้ให้คำปรึกษา มากกว่าเทคนิคในการส่งผลต่อสัมพันธภาพการให้คำปรึกษา และเน้นปัญหาด้านอารมณ์และความรู้สึก

จุดมุ่งหมายของการให้คำปรึกษาแบบยึดบุคคลเป็นศูนย์กลางการบำบัดรักษา

·       เพื่อให้ผู้รับการปรึกษา

·       ค้นพบ เข้าใจ และยอมรับตนเอง

·       หาทางที่จะพัฒนาปรับปรุงตนเองให้เข้ากับความเป็นจริง

·       เข้าใจตนเองว่าอะไรคืออุปสรรคของความเจริญงอกงามของตน

·       รับรู้ถึงสิ่งที่ทำให้รับ รู้ตนเองผิดไปจากความเป็นจริง

เทคนิคในการให้คำปรึกษาแบบยึดบุคคลเป็นศูนย์กลางการบำบัดรักษา

·       การรับฟังอย่างมีประสิทธิภาพ (Intensive Listening )และสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นจริงใจ

·       การยอมรับฟังในเรื่องราวและความเป็นบุคคลของผู้รับการปรึกษาโดยไม่มีเงื่อนไข โดยไม่ตัดสิน

·       การสะท้อนความรู้สึก (Reflection of feeling)

·       การทำให้เกิดความเข้าใจที่กระจ่างชัด (Clarifying)

·       การสนับสนุน (Supportive)

                ผู้ให้การปรึกษาที่ใช้ ทฤษฎี Client–Centered จะเปิดโอกาสและให้ความไว้วางใจ ตลอดจน มอบความรับผิดชอบให้แก่ผู้รับการปรึกษาเป็นอย่างมาก ในเรื่องการตัดสินใจที่จะจัดการกับปัญหาด้วยตัวของผู้รับการปรึกษาเอง
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น